วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

MAEDA และ COOPER ไม่ใช่ง่าย

จากที่เจอทางตัน ตันแล้วตันอีกเกี่ยวกับข้อมูลMaedaและCooper เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ที่หาได้ ก้อจะมีแค่ประวัติ และผลงาน จากที่เซิทไปหลายหน ค้นหาจากหลายที่ ก้อจะได้ผลลัพธ์คือประวัติและผลงาน ประวัติและผลงาน...ประวัติและผลงาน เหมือนจะไม่ได้อารัยเพิ่มเติม ทั้งนี้อาจจะเปนเพราะว่าพื้นฐานทางด้านภาษาที่สองของแต่ละคนในกลุ่มนั้นด้อยพัฒนาจึงเป็นอุปสรรคอีกอย่างในการค้นหาข้อมูล ในกลุ่มจึงได้ปรึกษากันแล้วหาว่าเราต้องการข้อมูลแบบไหนอีก "พี่กู้"สมาชิกใหม่ในกลุ่มได้ช่วยค้นหาเพิ่มเติมและช่วยวิเคราะห์ เมื่อเรานำข้อมูลต่างๆมารวมกันและวิเคราะห์จึงได้ ประเด็นที่น่าจะค้นคือ
- John MaedaและKyle Cooperมีส่วนเกี่ยวข้องหรือต่างกันยังงัย อาจารย์ถึงให้สองท่านนี้มาคู่กัน
- สองท่านนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อนำเสนอของกลุ่มอื่น เพราะบางกลุ่มก้อได้มีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่อาจจะไม่เกี่ยวก้อได้
- สองท่านนี้มีอิทธิพลต่อดีไซเนอร์อื่นๆยังงัย มีความสำคัญยังงัย
จากนั้นก้อนั่งคิดกันอยู่นานก้อจึงหาข้อสรุปได้ว่า(จากการวิเคราะห์กันเอง) Maeda กับCooper นั้นทำงานคล้ายกัน Maeda ทำmedia art ส่วน Cooper ทำMotion Graphic ทำไตเติลเปิดฉากหนัง แต่ที่ต่างกันอาจเป็นตัวผลงานที่แต่ละคนทำ
Maeda จะสื่องานออกมาเป็นAbstract งานนามธรรม ที่ต้องใช้จิตวิญญาณในการดูงานแต่ Cooperนั้นจะทำงานสื่อออกมาเป็นแบบการสื่อสารโดยตรงมากกว่า เหมือนงานทัศนศิลป์กับนิเทศน์ศิลป์
จากที่ดูงานของmaedaเปนงานAbstract และแต่ละงานของเขานั้นจะสร้างขึ้นเพื่อความสุนทรีย์ จึงบอกได้ว่าเขาได้ทำงานเป็นงานแบบmodern เพราะในงานสไตล์modern จะเป็นการออกแบบเพื่อความสุนทรีย์ ยุคแห่งเหตุผล และในยุคนี้ก้อมีศิลปะแบบAbstract และมีการกล่าวว่าองค์ประกอบศิลป์มีพลังอำนาจ และเป็นแกนของศิลปะ ส่วนผลงานของmaedaส่วนใหญ่ก้อจะนำวิธีการจัดองค์ประกอบศิลป์มาใช้ในงาน
ส่วนปัจจัยอิทธิพลที่มีผลต่อศิลปินคนอื่นนั้นยังมีข้อมูลไม่แน่ชัด แค่รู้ว่าตัวMaedaนั้นเป็นตัวแปรที่สำคัญกับศิลปินที่ทำงานทางด้านMedia Art ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นคนแรกที่คิดsoftware เขียนโค้ดงานขึ้นมาเองสำหรับผลงานต่างๆของเขา โดยไม่ได้ใช้โปรแกรมที่มีแล้ว


John Maeda ได้เขียนหนังสือชื่อ "The Laws of Simplicity" ความเรียบง่ายคือการลดสิ่งที่ไม่จำเป็น และเพิ่มสิ่งสำคัญ เพราะงั้นThe Law of Simplicityก็คือ กฎของความเรียบง่ายกฎแห่งความเรียบง่าย10ข้อเพื่อการdesign,business,technology,life
1.การลด reduce
ทางที่ง่ายที่สุดในการสร้างความเรียบง่ายคือการลดอย่างมีการไตร่ตรองไว้หรือการเอาระบบการอื่นๆออก มาเอดะได้ยกตัวอย่างคือ แผ่นดีวีดีทุกวันนี้มีระบบการณ์ให้เลือกมากเกินความจำเป็นถ้าสิ่งที่คุณต้องการคือแค่ดูหนังเรื่องนั้นๆ ทางแก้ก็คือให้เหลือแค่ปุ่ม “เล่น” ไว้ปุ่มเดียว
2.จัดระบบ organize
การจัดระบบเป็นการทำให้สิ่งต่างที่มีอยู่มากมายน้อยลง ปกตินั้นบ้านเป็นสมรภูมิแรกเมื่อเผชิญกับปัญหาการจัดการความซับซ้อนยุ่งยาก สิ่งเล็กๆมักจะเพิ่มเป็นทวีคูณ มีกลยุทธ์3ข้อในการจัดการปัญหาในชีวิตประจำวันนี้
1.ซื้อบ้านใหญ่ขึ้น
2.นำสิ่งของที่คุณไม่ต้องการใส่ไว้ในห้องเก็บของ
3.จัดระบบสิ่งของต่างๆที่ตั้งอยู่
การปกปิดความใหญ่โตของกองระเกะระกะมี2ทางคือซ่อนมันไว้หรือวางกระจายไปเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณได้ทำตามกฎข้อที่1การลดด้วยหรือเปล่า อย่างไรก็ตามในแผนการจัดระบบในระยะยาวที่ได้ผลเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก คำถามที่ท้าทายที่ตามมาคือ สิ่งไหนควรอยู่ด้วยกัน เช่นในตู้เสื้อผ้าควรจะมีสิ่งไหนบ้าง ในตู้เสื้อผ้าที่มีของเป็นพันๆอย่างอาจจะจัดกลุ่มได้เพียง6อย่างเท่านั้น
แน่นอนแผนจัดกลุ่มนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่อจำนวนของกลุ่มน้อยกว่าจำนวนของสิ่งของ
3.เวลา Time
คนทั่วไปใช้เวลาอย่างน้อย1ชั่วโมงต่อวันในการต่อแถวรอ ลองนึกถึงเวลา1ชั่วโมงนี้มาเป็นวินาที นาที สัปดาห์ที่เราต้องใช้เวลาต่อแถวเพื่อสิ่งที่ไม่อาจจำเป็นต้องต่อแถวเลยสิ บางสิ่งอาจเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก เรารอน้ำออกมาจากก๊อก รอน้ำต้มให้เดือดและรู้สึกทนไม่ได้ รอฤดูเปลี่ยน รอเว็บเพจโหลดข้อมูล ติดในการจราจรแบบคันต่อคัน หรือรอผลตรวจสอบร่างกายที่สำคัญ
ไม่มีใครชอบการรอ(ตัวเจ้าของบล้อกด้วย)ดังนั้นผู้บริโภคและเหล่าผู้ประกอบการพยายามที่จะหาทางใหม่ๆเพื่อลดการรอเวลา เมื่อผู้ประกอบการสินค้าหรือบริการไหนตอบสนองเร็ว เราถือว่าสิ่งนั้นเป็นแนวทางในการสร้างความเรียบง่าย ยกตัวอย่างเช่น FedExหรือการสั่ง McDonald’s การลดเวลาถือว่าเป็นสิ่งเรียบง่ายและเราชอบแบบนั้นแต่ว่ามันก็เกิดขึ้นยาก
4.การเรียนรู้ Learn
ความรู้ทำให้สิ่งต่างๆง่ายขึ้น การหมุนไขควงอาจเป็นสิ่งที่ง่ายมาก แต่ถ้าคุณเป็นเด็กคุณไม่ได้เรียนรู้มาก่อนก็ทำให้กลายเป็นเรื่องยากมาก ลูกของผมก็เรียนรู้วิธีการจากการสอนโดยยึดจากการหมุนของนาฬิกา ทั้ง2อย่างต้องใช้ความรู้เช่นกันนั่นก็คือ รู้จักซ้ายขวา รู้จักทิศทางการหมุนของนาฬิกา
ดังนั้นไขควงมีรูปแบบที่ง่ายมากแค่หมุนไปในทิศทางที่ถูกต้อง ความรู้ทำให้สิ่งต่างๆง่ายขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ แต่ปัญหาก็คือคุณรู้สึกว่า คุณกำลังเสียเวลาเรียนรู้สิ่งๆนั้นอยู่ นั่นคุณกำลังละเลยกฎข้อที่3 อยู่นะ
5.ความแตกต่าง Differences
ความเรียบง่ายและความซับซ้อนเป็นของคู่กัน ไม่มีใครต้องการกินแต่ของหวาน แม้แต่เด็กที่ได้รับอนุญาตให้กินของหวานได้ทั้ง3มื้อก็คงเบื่อไปเองและความหมายเดียวกัน ไม่มีใครต้องการแต่ความเรียบง่าย ถ้าไม่ดูจากความยุ่งยากเราก็คงไม่เห็นความเรียบง่าย เราจะรู้สึกก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ที่แตกต่าง การรับรู้ความแตกต่างช่วยให้เราบอกคุณภาพที่เราต้องการซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนสิ่งนั้นออก ผมไม่ชอบสีชมพูเป็นการส่วนตัวแต่ถ้านำไปรวมกับสีดำเป็นพื้นรอบๆก็ทำให้ดูดีขึ้นมาได้ เราเรียนรู้ที่จะวิจักษ์สิ่งต่างๆถ้าเราลองเปรียบสิ่งนั้นกับสิ่งอื่นๆ ความเรียบง่ายและความซับซ้อนเป็นของคู่กัน ยิ่งเราเห็นว่าที่การตลาดมีความซับซ้อนมากเท่าไหร่ ความเรียบง่ายก็จะเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น และเนื่องด้วยเทคโนโลยียังคงดำเนินไปในทางความซับซ้อน ทำให้มีกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจเรียบง่ายขึ้นด้านการจัดการสินค้า นั่นก็คือ ความรู้สึกเรียบง่ายในด้านการออกแบบยังต้องการความซับซ้อนเสมอๆแม้จะเป็นรูปแบบอื่นๆ
6.สิ่งแวดล้อม Context
สิ่งที่อยู่รอบนอกของความเรียบง่ายมีความสำคัญเท่ากันกับสิ่งที่อยู่ภายใน
7.อารมณ์ Emotion
อารมณ์หลากหลายย่อมดีกว่าไม่มีเลย
8.ความเชื่อใจ Trust
เราเชื่อใจในความเรียบง่าย
9.ความล้มเหลว Failure
10.ความเป็นหนึ่ง The one
ความเรียบง่ายคือการลดสิ่งที่เห็นได้ชัดออกและเพิ่มความหมายลงไป



JOHN MAEDA; Cambridge, Massachusetts
Pastafries

FOOD (F zero zero D)เปนโปรเจคงานแสดง ชิ้นแรกที่ นิวยอร์ก, เขาสร้างงานดิจิตอล abstract ( นามธรรม ) โดยจัดองค์ประกอบในเรื่องอาหาร ในเรื่องราวนี้มี เฟรนซ์ฟรายและเส้นพลาสต้า มาเอดะมีชื่อเสียง ว่าเป็นผู้เปลี่ยนแปลง อิเล็กทรอนิค มีเดีย
ในงานนี้เขาได้ประยุกต์ เทคโนโลยี เกี่ยวกับงานอนินทรีย์ ซึ่งอยู่ระหว่างกลางของ เฟรนซ์ฟรายและพลาสต้า และภาพนี้ได้บอกความเชื่อมโยง เกี่ยวกับความรู้สึก โดยสร้างให้แปลกประหลาด



งานชิ้นนี้ทำให้นิตยสารคาร์เทีย ได้แนวคิดมาจากหนังเรื่อง แมทริก ภาคสุดท้ายที่มิสเตอร์สมิทได้copyตัวเองออกมาเยอะๆโดยจะบอกถึงว่าอวัยวะหรือชิ้นส่วนมนุษย์นั้นทุกส่วนของร่างกายนั้นมีพลัง





SHISEIDO 30 YEARS ANNIVERSARY POSTER
เส้นสีทองๆที่แกว่งไปมา ที่เชื่อมต่อไปยังฐานที่มีโค้ดของชื่อ shiseidoอยู่ ตอนแรกมาเอดะคิดว่ามันงี่เง่าแต่เค้าก้อคิดว่าวามงี่เง่าที่ทำออกมาเป็นสิ่งดี เป็นเหมือนการคิดออกนอกกรอบ

"FLORA" ปฏิทินดอกไม้เต้นระบำ
เปนงานปฏิทินของSHISEIDO โดยใช้โปรแกรมJAVA ทำขึ้นเพื่ออารมณ์สุนทรีย์ล้วนๆ เป็นดอกไม้เต้นระบำให้ความเพลิดเพลิน เพลินจริงๆ สวยงาม ลองกดเล่นได้เรื่อย มาเอดะได้บอกถึงงานนนี้ว่า"สร้างเพื่อความสุนทรีย์และไม่มีเจตนาที่ล้ำเส้นเกินความศิลปะ" จากที่มาเอดะบอกไม่มีเจตนาล้ำเส้นเกินความศิลปะอาจหมายถึง งานชิ้นนี้ใช้โปรแกรมจาวาและตัวงานนั้นเล่นได้ บางคนอาจคิดว่ามันคือเกมส์ หรือเป็นโปรแกรมอารัยบางอย่างจึงได้มีการบอกไว้ในงาน
linkงานFLORA เข้าไปชมงานดูได้ที่นี่


ไม่มีความคิดเห็น: